kitty wedding

kitty wedding

วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

วันที่ 17 เมษายน 2557 ซ้ำที่ Nakano Broadway เที่ยวต่อ Toyosu Lalaport และ Palette Town

พรุ่งนี้ก็จะต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ แล้ว วันนี้ช่วงเช้าเราสองคนจึงตั้งใจะไปซื้อพวกเครื่องสำอางค์กับอุปกรณ์กล้องกัน ซึ่งจากหลายวันที่ผ่านมาที่เราได้ไปสำรวจราคามาหลายแห่ง ดูเหมือนที่ Nakano Broadway ราคาสิ่งของที่เราต้องการจะย่อมเยากว่าที่อื่น ๆ ส่วนร้านขนมที่ Nakano Broadway ก็มีนะคะ ราคาก็ถูกใช้ได้เลย แต่ขนมอาจจะมีให้เลือกน้อยกว่าที่ร้าน Nikinokashi ที่ตลาด Ameyoko ค่ะ
การเดินทางมา Nakano Broadway ถ้ามาโดยรถไฟให้ลงที่สถานี  JR Nakano  ทางออก North นะคะ

ออกมาปุ๊บก็จะเห็นทางเข้าสู่ Nakano Broadway เลยค่ะ
ตรงทางเข้าก็จะถูกดักด้วยของกินน่าอร่อยทั้งนั้นเลยค่ะ ถ้าใจไม่แข็งพอก็จะจอดกันตั้งแต่ทางเข้ากันเลยทีเดียวเชียว




หลังจากที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปหาซื้อของที่แต่ละคนต้องการแล้ว เราก็กลับมาเจอกันเพื่อกินมื้อกลางวันกันที่ร้านซูชิสายพานที่เล็งไว้ตั้งแต่คราวที่แล้ว ชื่อร้านคันจิทั้งนั้นอ่านไม่ออกซักตัว
ร้านนี้มีแต่ของอร่อย...
ซูชิร้านนี้ประทับใจมาก ๆ ค่ะ ถึงจะเป็นซูชิสายพาน แต่ความสดความอร่อยถือว่าเด็ดจริง ถ้าเปรียบเทียบกับซูชิสายพานร้านที่กินวันแรกที่มาถึง ที่นี่อร่อยกว่ามาก ๆ ค่ะ 
ซูชิหน้าต่าง ๆ ทยอยไหลมาตามสายพาน

ถ้าหน้าซูชิที่อยากกินยังไม่มาซักที เราสามารถสั่งได้ที่หน้าจอที่อยู่ข้างหน้าเราได้เลยค่ะ เลือกตามรายการที่ต้องการ แล้วจิ้มที่ order 
แต่สั่งได้ครั้งละไม่เกิน 4 จานนะคะ ส่วนราคาก็จะกำหนดตามลวดลายและสีของจานค่ะ

สั่งได้สักครู่ รถไฟด่วนขบวนซูชิก็มาเสิร์ฟตรงหน้า

ซูชิหน้าปลาทูน่า 3 อย่าง มี Akami, O-Toro และ Chu-Toro
จานนี้เรา 2 คน สั่งมา 2 จาน ไม่งั้นแบ่งกันไม่ลงตัวค่ะ งานนี้ไม่มีใครยอมใคร 555


หอยเชลล์สด ๆ นุ่มๆ อร่อยมาก  

ซูชิหน้าปู อันนีัปูจริง ๆ นะ ไม่ใช่ปูอัด แต่รสชาติก็คล้ายปูอัดนะ
แสดงว่าปูอัดที่กินอยู่ทุกวันนี้ถือว่าใช้ได้ ทำได้คล้ายของจริง 555

นี่คือเกือบทั้งหมดที่สั่ง แต่ก็มีที่กินหมดแล้วลืมถ่ายรูป อารมณ์เหมือนแร้งลง
สงสัยจะเจ็บใจซูชิในวันแรก มื้อนี้เลยส่งท้ายจัดหนัก
จัดของหนักไปแล้ว ต้องตามด้วยเครื่องดื่มและของหวาน ใน Nakano Broadway ยังมีร้านแกแฟที่จัดว่าเป็นร้านเด็ดอีกร้านที่อยากแนะนำ ร้านนั้นชื่อว่า Miyama Cafe แค่เห็นอุปกรณ์การทำกาแฟแล้ว ยังไงก็ต้องขอเข้าไปลอง

อเมริกาโน่เย็นแก้วนี้ ราคายังไม่รวมภาษี  467 เยน กลิ่นและรสชาติดีงามตามท้องเรื่อง

strawberry shortcake ราคาไม่รวมภาษี 553 เยน
เค้กของญี่ปุ่นมีคุณภาพกินร้านไหน ๆ ก็อร่อยเหมือนกันหมด
หลังจากที่กินอิ่มหนำสำราญและได้ของฝากประเภทเครื่องสำอางค์และอุปกรณ์กล้องเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปต่อที่ตลาด Ameyoko เพื่อไปซื้อขนมที่ร้านขนม Nikinokashi  อีกครั้ง ซึ่งรายละเอียดของร้านสามารถกลับไปอ่านได้ที่  วันที่ 11 เมษายน 2557 ตอนที่ 3 สวน Ueno ตลาด Ameyoko และ Tokyo Tower นะคะ

หลังจากซื้อของฝากกันอย่างหนักหน่วง เกือบ ๆ จะหมดวันกันเลยทีเดียว เราก็เอาของทั้งหมดกลับไปเก็บที่โรงแรมก่อน แล้วออกไปเที่ยวกันต่อที่ Toyosu Lalaport  เพื่อไปหาอาหารเย็นกินกันค่ะ
เราขึ้นสาย YURIKAMOME ลงที่สถานี TOYOSU (U16) ออกทาง Toyosu Park เดินชมวิวระหว่างทางไปเรื่อย ๆ ยังไม่ทันจะเหนื่อยก็ถึงแล้วค่ะ 
 เปิด 11.00 - 21.00 น. ส่วนอาหารปิด 23.00 น.

ร้านที่เราจะไปกินข้าวเย็นอยู่ที่ชั้น 3 ตรงส่วน Urban Dock ชื่อร้าน "Rakeru" ซึ่งอาหารขึ้นชื่อของร้านนี้คือ ข้าวห่อไข่ หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่า Omurice
เรารู้จักข้าวห่อไข่แบบญี่ปุ่นครั้งแรกจากละครโทรทัศน์เรื่องสูตรรักข้าวห่อไข่ สมัยนั้นกรี๊ด Satoshi Tsumabuki หนักมาก 
ในขณะที่ Yuko Takeuchi ก็เป็นนางเอกที่กินข้าวห่อไข่ได้ดูอร่อยสุด ๆ  น่ารักมากด้วย ทำให้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องมากินข้าวห่อไข่แบบญี่ปุ่นที่ญี่ปุ่นให้จงได้
ป้ายหน้าร้านเป็นภาษาอังกฤษป้ายสีแดงตัวหนังสือโตหาง่าย
อาหารตัวอย่างแสดงชนิดของข้าวห่อไข่แบบต่าง ๆ 

เลือกไม่ถูกเลย จะเยอะไปไหนเนี่ย
เมนูของหวานก็มีอีกเพียบ มาที่นี่กันแค่สองคนมากี่หนถึงจะกินได้ครบทุกเมนูล่ะเนี่ย
ร้าน Rakeru  เป็นร้านเก่าแก่ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1963 ปีที่เราไปก็เป็นปีที่ร้านฉลองครบรอบ 50 ปี ย่างเข้าปีที่ 51 
จานแรกเริ่มจากซุปข้าวโพดหวานรสชาติกลมกล่อม 410 เยน รวมภาษีแล้ว

มาแล้วข้าวห่อไข่เสิร์ฟพร้อมแฮมเบิร์ก มันฝรั่งและขนมปัง เมนูสุดฮิตของร้าน ราคา 1,166 เยน รวมภาษีแล้ว ขนมปังของที่นี่รสชาติจะออกหวานหน่อย ๆ นะคะ
หวังจะให้เห็นเน้นด้านแฮมเบิร์กกันชัด ๆ  แต่ก็ยังถ่ายได้เบลออยู่ดี

ต่อมาเป็นสตูว์ร้อน ๆ ราดด้วยไข่เยิ้ม ๆ ราคา 950 เยน รวมภาษีแล้ว

ดับกระหายและตัดเลี่ยนเล็กน้อยด้วยน้ำ lemonade แก้วนี้ 216 เยน รวมภาษีแล้วจ้า
อิ่มจนจุกแล้วก็ลองมาเดินเล่นดูภายในห้าง Toyosu Lalaport กันดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้าง ถือเป็นการเดินย่อยอาหารไปในตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารต่าง ๆ น่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ 
แผนผังร้านอาหารต่าง ๆ ภายใน Toyosu Lalaport ที่นี่คือสวรรค์ของนักกินแท้ ๆ 







สำรวจร้านอาหารภายในหมดแล้ว ออกไปเดินข้างนอกสูดอากาศบริสุทธิ์กันบ้างดีกว่า พอออกมาแล้วรู้สึกดีมาก ๆ แม้อากาศจะเย็นไปซักหน่อย แต่รู้สีกว่าบรรยากาศมันดีมาก ๆ ข้อดีของการพักที่โอไดบะก็คือบรรยากาศนี่แหล่ะ มันสบาย ๆ ชิวส์ ๆ ไม่รู้สึกอึดอัดคนเยอะแยะเหมือนทางฝั่งในโตเกียว แต่ข้อเสียคือ จะเข้าเมืองทีต้องนั่งรถไฟหลายต่อ ทำให้เสียค่ารถเยอะมาก ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง





จุดหมายต่อไปของเราคือ  Palette town  ที่แรกที่จะไปคือ ห้าง Venus fort จากสถานี  Toyosu (U16) ต่อสาย Yurikamome Line ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็ถึงสถานี Aomi (U10)
ถึงแล้ว Palette town มุ่งหน้าไปที่ Venus fort ก่อนเลย
ห้าง venus fort เป็นห้างสไตล์อิตาลี (ดูจากข้างนอกอาจจะยังดูไม่ออก)
จุดเด่นคือหลังคาที่เป็นรูปท้องฟ้าที่จะเปลี่ยนสีไปตามช่วงเวลาของวัน
 เปิด 11.00 - 21.00 น. ส่วนอาหารปิด 23.00 น.










ออกจากห้าง Venus fort ไปต่อกันที่สุดท้ายของทริปในโตเกียวครั้งนี้ของเรา คือ Toyota Mega Web ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับห้าง Venus fort นั่นเอง

ออกมาเจอกับชิงช้าสวรรค์ไดคันรันชะ (Daikan Ransha) กำลังเปิดไฟสวยเชียว
เปิด 10.00 - 22.00 น.
Toyota Mega Web เปิดเวลา 10.00 - 22.00 น.
เรามาถึงก็ใกล้เวลาจะปิดแล้ว เลยต้องเร่งฝีเท้าเดินชมรถที่นำมาแสดงกันอย่างรวดเร็ว











ปิดท้ายทริปนี้ด้วยชิซูกะจัง สำหรับทริปหน้าเราจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกันอีกครั้ง โดยเราจะเดินทางจากคันไซสู่ฮอกไกโดในช่วงรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้เปลี่ยนสีกับฤดูหนาวกัน ยังไงจะมาเขียนแชร์เรื่องราวต่าง ๆ ในโอกาสต่อไปนะคะ ขอบคุณค่ะ