kitty wedding

kitty wedding

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

วันที่ 10 เมษายน 2557 ตอนที่ 2 ชิมเบียร์ที่ Yebisu Garden Place

             ทริปตอนนี้เอาใจโยกี้กับคนที่ชอบดื่มเบียร์ สำหรับการเดินทางจาก Shibuya มา Yebisu Garden Place สามารถเดินทางโดยการนั่งรถไฟสาย JR Yamanote (inner loop) หรือ JR Saikyo ลงที่สถานี Ebisu ค่ารถไฟ 140 เยนต่อคน แต่ถ้าซื้อตั๋ว Tokunai Pass มาแล้วก็ไม่ต้องเสียค่ารถไฟอีก พอถึงสถานี Ebisu แล้วเดินตามทางมาเรื่อยๆ จะเจอป้าย Yebisu Sky walk ให้เดินไปตามทางเลยจนถึงทางออกก็จะเจอ Ebisu Garden Hall 


"ถ้าเห็นป้าย Yebisu Sky Walk แสดงว่าไม่หลงละ"

"อยากได้ข้อมูล Yebisu Garden Place เพิ่มเติมแวะที่นี่ได้เลย"
"ข้ามทางม้าลายไปก็ถึง  Yebisu Garden Place แล้ว"
"Sapporo Beer Station ที่ซึ่งเราจะมากินข้าวกลางวันและชิมเบียร์กัน"

ถ่ายรูปกันพอเป็นพิธีก็รีบหาที่นั่งกินอาหารเช้ารองท้องกันก่อน เริ่มจากข้าวปั้นที่ซื้อมาจากร้าน Omusubi Jukichi ที่ห้าง Tokyu สาขา Shibuya กันเลยดีกว่า เป็น set ข้าวปั้น 1 กล่อง ราคา 497 เยน ประกอบด้วย ข้าวปั้น 2 ก้อน (ไส้อะไรก็ไม่รู้ตอนซื้อเค้าจัดเป็น set ไว้แล้ว) ไข่หวาน 2 ชิ้น และไก่คาราอะเกะ 3-4 ชิ้น 

"ได้เวลาเปิดกล่องอาหารเช้า..."
         
        ข้าวปั้นก้อนแรกที่ห่อด้วยสาหร่ายที่แท้ก็เป็นไส้ปลาแซลมอนนั่นเอง ส่วนข้าวก็เหนียวอร่อยดี ซึ่งร้านนี้เค้าบอกว่าข้าวที่นำมาทำเป็นข้าวปั้นเป็นข้าวสายพันธุ์ Koshihikari จากจังหวัด Yamagata เราก็ไม่รู้ว่ามันต่างจากข้าวสายพันธุ์อื่นของญี่ปุ่นยังไง เพราะกินแล้วมันก็อร่อยเหมือนกันหมด 


"ลุ้นๆ มันไส้อะไรน๊า"

"ที่แท้ก็ไส้ปลาแซลมอนนั่นเอง...แต่ว่าปลามันน้อยไปหน่อยไหม"
       
      ส่วนข้าวปั้นสีออกกะปิๆ ผสมงาดำกินแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นข้าวปั้นรสอะไร แต่ที่แน่ๆ มันไม่มีไส้ และรสสัมผัสเหมือนกินข้าวหลาม เหนียวๆ หนึบๆ แต่ไม่หวาน ก็เลยกินแกล้มกับไก่คาราอะเกะและไข่หวานย่าง ซึ่งไก่คาราอาเกะรู้สึกได้กลิ่นขิงนิดๆ ด้วย  สำหรับมื้อนี้ถือว่าอร่อยแบบธรรมดาๆ


"เหนียวนุ่มเค็มๆ มันๆ ดี แต่รสอะไรก็ไม่รู้สิ"

"นั่งชมความสวยงามของตัวอาคารระหว่างกินข้าวปั้นรองท้อง"

เรามาต่อของหวานกันดีกว่า สตรอว์เบอร์รี่ที่หอบหิ้วมาด้วยยังอยู่ดีหรือไม่ เฮ้อ! ค่อยยังชั่วยังอยู่ดี ไม่เละ และไม่ช้ำแต่ประการใด สตรอว์เบอร์รี่ที่เราซื้อมาเป็นพันธุ์  "Yumenoka" แปลได้ว่ากลิ่นหอมของความฝัน ซึ่งก็คงจะจริงพอเปิดแพคออกกินหอมของสตรอว์เบอร์รี่ก็ปะทะเข้ากับจมูกเลย  ส่วนสีสรรก็แดงแปร๊ดมาก กัดเข้าไปหนึ่งคำเนื้อข้างในสีขาวจั๋วหน้าเจี๊ยะหวานมากๆ 

"สตรอว์เบอร์รี่สายพันธุ์  Yumenoka 1 แพค 480 เยนเท่านั้น"

"ขนาดกำลังดี สีแดงแปร๊ด มันคือกลิ่นหอมของความฝัน"

รองท้องเรียบร้อยแล้ว ไปเดินหา Museum of Yebisu Beer กันดีกว่า เราสองคนเดินวนหาอยู่นานเหมือนกัน ตอนแรกหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ทีแท้ทางเข้ามันอยู่ข้างล่างนี่เอง โดยเดินเข้าทางห้าง Mitsukoshi  ชั้น B1F ด้านทิศตะวันตก

"เดินหาทางไป Museum of Yebisu Beer "

"ทางเข้า Museum of Yebisu Beer อยู่ที่ห้าง Mitsukoshi ชั้น B1F ด้านซ้ายมือ"
"เจอแล้วทางเข้า Museum"
"พอเดินทะลุห้าง Mitsukoshi เราก็จะพบกับทางเข้า Museum of Yebisu Beer"

"Museum of Yebisu Beer...ถึงแล้ว"

"เปิด 11.00 - 19.00 น. ปิดวันจันทร์
(ถ้าวันหยุดพิเศษตรงกับวันจันทร์ก็จะปิดวันอังคารแทน) ที่สำคัญเข้าชมฟรีจ้า"
"ของรักของข้า..."
"ทางลงไป Museum"

"เบียร์ในยุคต่างๆ"

"แก้วเบียร์ในปี 1900"
  
"Beer tap ปี 1933"
"โฆษณาเบียร์แบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น"

"โปสเตอร์โฆษณาเบียร์อีกรูปแบบ"

"ไอเดียดีจัง"
"เทพ Ebisu เป็น 1 ใน 7 เทพเจ้าแห่งความสุขของญี่ปุ่น
              Ebisu เป็นเทพเจ้าแห่งประมง การค้า โชคลาภ และความสมบูรณ์
              สัญลักษณ์มือซ้ายอุ้มปลา มือขวาถือเบ็ด หน้าตา happy happy" 
 หลังจากเดินดูพิพิธภัณฑ์จนทั่วแล้ว ถึงเวลาอาหารกลางวันที่รอคอยแล้ว เดินออกจาก Museum of Yebisu Beer กลับมาที่ Sapporo Beer Station มาถึงขอ check เมนูหน่อยซิ มีเมนูที่เราตั้งใจมากินยังมีอยู่ไหมนะ


"ตรวจสอบเมนู set อาหารกลางวัน ปรากฏว่าเมนูที่ตั้งใจมากินหายไป 1 เมนู"
พอเดินเข้าไปในร้าน พนักงานจะถามว่ามากี่คน (พนักงานที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้) แล้วพาเราไปยังที่นั่ง หลังจากนั้นเค้าจะเสิร์ฟน้ำเย็นให้ (ที่ญี่ปุ่นตามร้านอาหารจะมีบริการน้ำดื่มฟรี บางที่ก็เป็นน้ำเปล่าเย็น บางทีก็เป็นชาเขียวร้อน) 

"บรรยากาศภายในร้าน ออกแนวตะวันตก"

เมนูที่เราสั่งมี 2 เมนู เมนูแรก เป็น Hamburg สไตล์ตะวันตกเป็นเนื้อบดโปะหน้าด้วยชีสหนึ่งแผ่น ราดด้วย Gravy Sauce ผสมสารพัดเห็ดและมะเขือเทศสับ มีบร็อคโคลี่กับมะเขือม่วงเคียง จานนี้เสิร์ฟคู่กับข้าวสวย 1 จาน  รสชาติออกเปรี๊ยวนำเค็มตามนิดหน่อย มีรสหวานประแหล่มๆ  ไม่จัดจ้าน ส่วนเนื้อนุ่มฉุ่มฉ่ำดี จัดว่าอร่อยทีเดียว (แต่ถ้าเข้มข้นกว่านี้จะอร่อยมาก เราว่ายังจืดไปหน่อย) สำหรับจานนี้ชอบมะเขือม่วงที่สุด ราคา 980 เยน

"วัตถุดิบทุกอย่างดีหมด...แต่ถ้าเข้มข้นกว่านี้จะอร่อยมากทีเดียว"

เมนูที่ 2 ข้าวหน้าสเต๊กเนื้อ ตอนที่เห็นจานนี้ถูกเสิร์ฟ ความรู้สึกแรกคือ ทำไมน้อยจัง เป็นเนื้อสเต๊กบางๆ 2 ชิ้นโปะบนข้าวราด Gravy Sauce เล็กน้อย มีผักสลัดและมันฝรั่งบดเคียง  ข้าวเหมือนจะผัดเนยมาเพราะรู้สึกจะมันแต่ก็ไม่มันมาก  รสชาติจืดไปหน่อยถ้าเค็มอีกนิดคงจะอร่อยเหาะ ผักสลัดกรอบหวานดี แต่เอ๊ะ! ลืมราดน้ำสลัดมาหรือเปล่า ส่วนมันบดอร่อยสุดยอด เสิร์ฟมาพร้อมซุปใส 1 ถ้วยเล็ก ค่าเสียหายสำหรับจานนี้ 950 เยน

"อร่อยนะ ถือว่าไม่ผิดหวังแต่น้อยไปหน่อยสำหรับเรา...แก้วที่เห็นข้างๆ คือแก้วซุป"
มาถึงถิ่นจะไม่ชิมเบียร์คงจะไม่ได้ หน้าที่นี้ยกให้เป็นของโยกี้ เบียร์ Yebisu มีหลายแบบหลายสีมาก โยกี้เองก็เลือกไม่ถูก  วนนิ้วไปมาตกลงเลือกสีกลางๆ แก้วนี้ละกัน สำหรับรสชาติโยกี้บอกว่าอร่อยแบบธรรมดาๆ แต่มานั่งกินในร้านมันยิ่งทำให้อร่อยขึ้น เรียกว่ามากินบรรยากาศมากกว่า

"มาถึงถิ่นต้องชิมนิดนึง แก้วนี้ 570 เยน"
"ผมมากินบรรยากาศครับ"
เอาล่ะ...กินบรรยากาศกันพอแล้ว สถานีต่อไปเราจะไป Harajuku กัน คราวนี้ถึงคิวเราไปกินเครปบ้างแล้ว ^_^

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

วันที่ 10 เมษายน 2557 ตอนที่ 1 สวัสดีฮาจิโกะ

เช้าแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวไปเยี่ยม Hachiko ที่สถานีรถไฟ Shibuya กันดีกว่า การเดินทางจากโรงแรม Sunroute  Ariake ง่ายๆ ตามนี้เลยค่ะ เริ่มต้นจากสถานี Kokusai-Tenjijo  ขึ้นสาย Rinkai Line ใช้เวลาประมาณ 14 นาที แล้วลงที่สถานี Osaki (ค่ารถไฟ 330 เยน) หลังจากนั้นต่อสาย JR Yamanote Line(Outer loop) ใช้เวลา 9 นาที ก็ถึงสถานี JR Shibuya แล้ว (ค่ารถไฟ 160 เยน) ถ้าอยากจะเจอกับ Hachiko ต้องออกทาง Hachiko Exit  ความจริงเราสามารถเดินทางโดยรถไฟได้หลายทาง ก็แล้วแต่ว่าเวลาที่เราไปถึงสถานีรถไฟแล้ว รถไฟสายไหนมาถึงก่อนกัน ก็ดูตามความเหมาะสมและความประหยัดดีกว่าเน๊อะ  วิธีเช็คการเดินทางสามารถทำได้ง่ายๆ โดยอาศัยตัวช่วยจาก website hyperdia นี้เลยค่ะ (http://www.hyperdia.com/en/)

        แต่เนื่องจากก่อนการเดินทางเราทำแผนเที่ยวไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเดินทางโดยรถไฟสาย JR ทั้งวัน คำนวณค่ารถไฟแล้วซื้อตั๋วรถไฟ JR East แบบ Tokyo Metropolitan District Pass (Tokunai Pass) คุ้มกว่า ตกคนละ 750 เยน สามารถขึ้นลงรถไฟสาย JR ทั้งแบบ local และ rapid ได้แบบไม่จำกัดเที่ยวภายใน 1 วัน (ยกเว้นตู้แบบสำรองที่นั่งต้องเสียตังส์เพิ่ม) เท่านี้ก็ประหยัดเงินค่าเดินทางได้อีกพอสมควร ตั๋วนี้สามารถซื้อได้ที่ตู้ขายตั๋วรถไฟอัตโนมัติของสาย JR ที่สถานีรถไฟได้เลย


"หน้าตาตั๋ว Tokunai Pass"

หลายๆ คนคงจะรู้จัก Hachiko กันดีอยู่แล้ว แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่ทราบ ก็ขออนุญาตเล่าคร่าวๆ ว่า Hachiko เป็นน้องหมาพันธุ์อะคิตะ ที่มาคอยรับส่งเจ้านายซึ่งเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโตเกียวที่สถานีรถไฟ Shibuya ทุกๆ วัน จนวันหนึ่งเจ้านายของ Hachiko เสียชีวิตขณะทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยและไม่มีวันได้กลับมาหา Hachiko อีก แต่ Hachiko ก็ยังคงมารอรับเจ้านายที่สถานี Shibuya ทุกวัน  จน Hachiko ตายในอีกหลายปีต่อมา ชาวญี่ปุ่นเลยสร้างอนุสาวรีย์ที่บริเวณสถานีรถไฟ Shibuya เพื่อเป็นการระลึกถึงความซื่อสัตย์ให้แก่ Hachiko จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้นำอนุสาวรีย์ Hachiko ไปหลอมใช้เป็นอาวุธสงคราม แต่ต่อมาก็ได้มีการหล่อขึ้นมาใหม่และปัจจุบันอนุสาวรีย์ Hachiko ก็กลายเป็นที่นัดหมายพบปะของผู้คนคล้ายๆ กับเป็นสัญลักษณ์การรอคอยอย่างหนึ่งเหมือนกัน และมีหลายคนยังคงมาทักทายรวมทั้งถ่ายรูปกับ Hachiko เหมือนๆ กับเราเหมือนกัน (สามารถอ่านเรื่องราวอย่างค่อนข้างละเอียดของ Hachiko ตาม link ได้เลยค่ะ)

"Hachiko...ยังคงนั่งรอคอยเจ้านายจวบจนทุกวันนี้"


"Hachiko เป็นนัดหมายพบปะของผู้คนใน Shibuya"

ทักทายกับ Hachiko เรียบร้อยแล้ว ไปนั่งดูความชุลมุนของห้าแยก Shibuya กันต่อเลย ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์ Hachiko นี่แหล่ะ ห้าแยกนี้ขึ้นชื่อเรื่องภาพมวลมหาประชาชน (คนละอย่างกับบ้านเรา) เดินข้ามห้าแยกพร้อมๆ กัน จุดที่เหมาะกับการถ่ายภาพ คือ ร้านกาแฟ Starbuck ชั้น 2 ตึก Q Front ตรงห้าแยกนั้นเลย

"ห้าง Tokyu อยู่ติดๆ กับอนุสาวรีย์ Hachiko"
"จุดหมายอยู่ที่ Starbuck ชั้น 2 ตึก Q Front"

"เราสองคนก็เป็นส่วนหนึ่งของความชุลมุนของห้าแยกนี้เหมือนกัน"

"มาดูความชุลมุนไม่ทัน...ไม่เป็นไร...รอไฟแดงรอบใหม่ได้...(ทำเหมือนว่างกันนะ)
ค่าเสียหายของกาแฟ 2 แก้วรวมแล้ว  777  เยน"

"วันนี้คนไม่เยอะมากเท่าที่ควร สงสัยจะเลยเวลาเข้างานกันแล้ว"
หลังจากทำตัวเหมือนว่างนั่งดูผู้คนที่ห้าแยก Shibuya กันได้ซักพัก  เราสองคนก็ออกจากร้าน Starbuck แล้วไปเดินเล่นกันที่ถนน Center Gai กัน ถนนนี้เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขนม และสารพัดร้านอื่นๆ มากมาย (แต่ส่วนใหญ่เราก็เน้นเล็งแต่ร้านอาหาร สังเกตว่ารูปที่ถ่ายมามีแต่ร้านขายอาหาร ก็แบบว่าของมันชอบนี่นา สนใจอ่านรีวิวของเราสองคนเกี่ยวกับร้านอาหาร ของกิน ของใช้ ของฝาก ตามได้ที่ link นี้ได้เลยค่ะ) 

"ตึก Shibuya 109 Men อยู่ตรงข้ามกับตึก Q Front...
ชื่อก็บอกอยู่ว่าตึกนี้ขายสินค้า(ประเภทเสื้อผ้า) สำหรับคุณผู้ชาย"
"ร้าน Ramen ใน Shibuya ร้านขวามือคือร้าน Kindenmaru"

"ซ้ายร้าน Cafe Miyama...ขวา ร้าน Pet Super Wan เห็นแล้วคิดถึงแมวที่บ้านขึ้นมาทันใด"

"Burger King เสียดายทริปนี้ไม่ได้ลองชิมเลย"

"ร้านราเม็งอีกร้าน...Aji Gen"

"ร้าน Yanbaru (คำก่อนหน้าอ่านไม่ออก 555) ขายอาหาร Okinawa"

"ร้าน Genki Sushi...ตอนนี้มาเปิดสาขาที่ประเทศไทยแล้ว"

"ราคาถูกกว่าสาขาที่ประเทศไทยพอสมควร"

                เดินจนรอบเข้าซอยโน้นออกซอยนี้ก็มาปะกับร้าน Pablo  ซึ่งเป็นร้านขาย Cheese Tart ชื่อดังจาก Osaka (อยากกรี๊ดอ่ะ) ได้ยินชื่อเสียงมานานละ อยากลองจริงๆ  จุดเด่นของ Cheese Tart ร้านนี้ คือ จะมีให้เลือกว่าถ้าอยากได้ Cheese แบบเยิ้มๆ ก็ต้องเลือกแบบ Rare แต่ถ้าไม่ชอบให้ Cheese ไหลเปรอะเปื้อนหน้าเปื้อนตาเวลาหม่ำก็เลือกแบบ Medium...เดินผ่านกระจกที่เค้ากำลังทำ Cheese Tart โชว์อยู่ ความอยากยิ่งพลุ่งพล่าน จนเดินวนไปถึงตัวหน้าร้าน แป่วววว...ร้านยังไม่เปิด(ร้านเปิดสิบโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม T_T) หมดกัน..เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่าร้านจะเปิด...รอไม่ไหวจริงๆ อดไป 


"ร้าน Pablo...กลิ่น Cheese หอมทะลุกระจกออกมาเลย"

"โชว์กรรมวิธีการทำให้เห็นกันจะจะ (น้ำลายยืดเกาะอยู่หน้ากระจก)"

"ด้านซ้ายมี topping เป็นผลไม้สดๆ..
ด้านขวาเป็นแบบ original บนเป็นแบบ rare ไส้ทะลัก...ส่วนล่างเป็นแบบ medium เรียบเนียน"

"กรรม...ร้านยังไม่เปิด"

ว่าแล้วเราก็เดินข้ามห้าแยก Shibuya ผ่านอนุสาวรีย์ Hachiko มาที่ห้าง Tokyu ระหว่างทางก็ผ่านร้านปาจิงโกะ โอ้โห...มีคนมารอต่อแถวเข้าร้านกันแต่เช้าเลย  กินข้าวกินปลากันมาหรือยังเนี่ยพูดแล้วก็หิว...หลังจากพลาด Cheese Tart จากร้าน Pablo แล้ว เราสองคนก็ตรงดิ่งไปที่แผนกอาหารของห้าง Tokyu กันเลย 

"เอ่อ....เข้าคิวเล่นปาจิงโกะกันแต่เช้าเลยเหรอ"


"ขนม Hachiko น่าจะมีที่สาขานี้ที่เดียวนะ"

"ช่วงที่ไปเป็นช่วงเทศกาล Easter พอดี เลยมีขนมต้อนรับเทศกาล Easter หลากหลายแบบ"

ด่านแรกที่เจอแล้วต้องสะดุดเป็นร้านขายผลไม้ ซึ่งดูแล้วเน้นสตรอว์เบอร์รี่กับลูก Biwa เป็นหลัก ไอ้เราก็มัวแต่สนใจสตรอว์เบอร์รี่ เห็นแบ่งชนชั้นราคากันหลากหลายหน้าดู ลืมดูลูก Biwa ไปเลย (Biwa เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น เค้าว่ากันว่าถ้ากินสดๆ เนื้อจะนุ่มหวานหอมฉุ่มฉ่ำเหมาะสำหรับช่วงหน้าร้อน) เลยได้ภาพ Biwa ติดมาเล็กน้อย 

"ซ้าย สตรอว์เบอร์รี่แพคละ 498 เยน...ขวาบน  Biwa 12 ลูก 3,240 เยน ขวาล่าง 5 ลูก 1,080 เยน"

"สตรอว์เบอร์รี่ฝั่งนี้แพคละ 550 เยน"

"บอกแหล่งที่มาของสตรอว์เบอร์รี่อย่างละเอียด...
นี่แหล่ะเสน่ห์ในเรื่องอาหารของประเทศนี้ (แต่ว่าอ่านไม่ออกอ่ะ)"

"ซ้าย สีออกขาวๆ เม็ดแดงๆ ถ้าไม่ใช่สตรอว์เบอร์รี่ไม่สุก (555) ก็น่าจะเป็น Pineberry รสชาดและกลิ่นเหมือนสับปะรด 2 ลูก 1,080 เยน
(ราคาขนาดนี้...กินสับปะรดน่าจะดีกว่า)...
ส่วนขวามือ 1 ลูก 864 เยน มันคือสตรอว์เบอร์รี่ขั้นเทพหรืออย่างไร"

"จัดเป็นแพคสวยงาม...ซ้าย Pineberry 10,800 เยน...กลางและขวา สตรอว์เบอร์รี่ 4,320 เยน 
และ 3,780 เยน"

หลังจากสำรวจราคาสตรอว์เบอร์รี่อยู่สักพัก ไม่ต้องคิดอะไรมาก ดูแล้วก็เหมือนๆ กันหมด จะเลือกของแพงไปไย แพค 480 เยนจัดมา...

ได้ของหวานแล้ว ของคาวเช้านี้ยังไม่ได้เลย...เราเข้าไปข้างในต่อเรื่อยๆ ก็เข้าสู่โซนอาหารกันแล้ว...โอ๊ย!!! ตอนนี้เสียงท้องร้องไม่เป็นภาษาแล้ว...น่ากินไปหมดเลย เสียดายไม่ค่อยกล้ายกกล้องขึ้นมาถ่ายไม่รู้ว่าเค้าอนุญาตให้ถ่ายได้หรือเปล่า  ครั้นจะยกกล้องแอบถ่าย อีกล้องของเราก็ดันสีชมพูแปร๊ด...ส่วนของโยกี้ก็เห็นเลนส์ชัดมาแต่ไกลเชียว เลยเก็บภาพมาได้นิดหน่อย

"โซนอาหารที่ห้าง Tokyu ชั้น B1F"

"เดินวนไปมาหลายรอบ เลือกไม่ถูก"

เดินวนเวียนไปมาอยู่โซนอาหารหลายรอบเลือกกันไม่ถูกจริงๆ เยอะมาก...ดูนาฬิกา เฮ้ย!!! นี่มันจะสิบเอ็ดโมงอยู่แล้วนี่ เดี๋ยวก็ต้องไปกินข้าวกลางวันที่ Yebisu อีก พลาดไม่ได้ด้วยรายการนี้ ตั้งใจมาจากกรุงเทพฯ ว่าต้องไปกินร้านนั้นให้ได้ ไม่ได้กินฉันต้องอาฆาตแน่ๆ (มาแนวเดียวกับร้านซูชิที่ Diver City Tokyo Plaza อีกแล้ว จะผิดหวังอีกหรือไม่ โปรดติดตาม 555) เราสองคนเลยต้องจำใจเลือกอาหารรองท้องเล็กน้อย สุดท้ายก็ได้ข้าวปั้นร้าน Omusubi Jukichi มา แต่ก็ไม่รู้จะไปนั่งกินกันตรงไหนดี เลยต้องถือไปย่าน Ebisu ด้วย ค่อยไปหาที่นั่งกินแถวนั้นละกันนะ

"ร้านข้าวปั้น Omusubi Jukichi"

"ข้าวปั้นร้านนี้แหล่ะ...รองท้องไปก่อน"
ตอนนั้นเราก็สงสารโยกี้มาก รู้ทั้งรู้ว่าโยกี้หิวมาก ไม่คิดว่าเวลาอาหารเช้าจะเลยมามากขนาดนี้  แต่อีกไม่ถึง 2 ชั่วโมงเราก็ต้องไปกินข้าวกลางวันกันที่ Ebisu อยู่แล้ว ไอ้เราก็กลัวว่าร้านอาหารกลางวันที่เราอยากจะนำเสนอนักหนาเนี่ย ถ้าโยกี้เกิดอิ่มขึ้นมา แล้วกินไม่ลง เราก็คงกร่อยไปด้วยแน่ๆ เลยต้องให้โยกี้กินเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อน (โหดไปไหม)...ปล. อย่าหวังหาอาหารเช้าที่ญี่ปุ่น เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่เปิดเวลา 10 โมง หรือ 11 โมง ที่พึ่งที่ดีที่สุดยามเช้าคือร้านประเภทมินิมาร์ททั้งหลายนั่นเอง ส่วนโยกี้จะได้กินอาหารเช้าหรือไม่ อย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปเร็วๆ นี้