kitty wedding

kitty wedding

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วันที่ 10 เมษายน 2557 ตอนที่ 3 กินเครปที่ Harajuku

        ก่อนที่เราจะไปกินเครปที่ Harajuku กัน เราสองคนต้องไปซื้อตั๋วรถ Keio Highway Bus ล่วงหน้าที่สถานี Shinjuku เพื่อที่จะไปเที่ยว Kawaguchiko กันวันที่ 15 เมษายนก่อน จากสถานีรถไฟ Ebisu ขึ้นสาย JR Yamanote Line (Outer loop) หรือสาย JR Saikyo Line Rapid ลงที่สถานีรถไฟ JR Shinjuku ค่ารถไฟ 160 เยน สำหรับเรามีตั๋ว Tokunai Pass แล้วใช้ได้เลย  

       สถานีรถไฟ Shinjuku เป็นสถานีใหญ่มากเดินไปเดินมาอาจจะหลงได้ ดังนั้น พอมาถึงสถานีรถไฟให้มองหาป้ายที่เขียนว่า Central West Exit ไว้ แล้วเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ถ้าอยู่ๆ เดินไปแล้วป้าย Central  West Exit หายไป ให้มองหาป้าย Express Bus Terminal แทน แล้วเดินตามป้ายนั้นต่อไป ก็จะเจอทางออกไปสถานีรถบัสของ Keio 

"พอถึงสถานีรถไฟ JR Shinjuku ให้เดินตามป้าย Central West Exit"

"เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ"

"เดินตามไปจนกว่าจะหาป้ายนี้ไม่เจออีก แล้วให้มองหาป้าย Express Bus Terminal แทน"

สถานีรถบัส Keio จะอยู่ใกล้ๆ กับห้าง Yodobashi ถ้าออกจากสถานีรถไฟมาได้แล้ว ไปไม่ถูกให้ถามคนแถวนั้นว่าห้าง Yodobashi อยู่ที่ไหนน่าจะง่ายกว่าถามว่าสถานีรถบัสอยู่ที่ไหนนะ แต่ถ้ายังนึกภาพไม่ออกลองไปดู clip นี้ก็ได้ (How to get a ticket to go to Mt Fuji from Shinjuku) เราสองคนก็ได้ clip นี้แหล่ะเป็นไกด์ให้ ขอบคุณนะคะ 

        เนื่องจากตั๋วที่เราซื้อเป็นตั๋วแบบล่วงหน้าเราต้องขึ้นไปซื้อตั๋วที่ชั้น 2 ตามที่ clip บอกเลย และการที่จะไปเที่ยว Kawaguchiko  เพื่อดูภูเขาไฟ Fujisan นั้น ควรที่จะต้องดูพยากรณ์กันล่วงหน้า เพราะถ้าวันที่เราจะไปเกิดฝนตกหรือท้องฟ้าปิดก็คงหมดโอกาสได้เห็นภูเขา Fujisan อย่างแน่นอน ดังนั้น แผนการเที่ยวควรกำหนดไว้แบบยืดหยุ่นสามารถสลับวันได้ เมื่อแน่ใจแล้วค่อยไปซื้อตั๋วจะได้ไม่เสียใจภายหลัง 

"แผนที่ Shinjuku Highway Bus Terminal...ถ้าจะซื้อตั๋วล่วงหน้าต้องขึ้นไปที่ชั้น 2"

     การไปเที่ยว Kawaguchiko แนะนำให้จองตั๋วกันล่วงหน้า เพราะเป็นสถานที่ที่ทั้งคนญี่ปุ่นและคนต่างชาติ (คนไทยนี่แหล่ะ) ไปเที่ยวกันเยอะมาก ขนาดเรามาจองตั๋วล่วงหน้า 5 วัน ขาไปจากสถานี Shinjuku ไปสถานี Kawaguchiko รอบแรกเวลา 7.10 น. ก็เต็มหมดแล้ว โชคดีที่รอบต่อมา คือ 7.40 น. ยังมีที่นั่งว่างอยู่ ส่วนขากลับเป็นวันเดียวกัน เราเลือกกลับเวลา 18.10 น. การเดินทางระหว่างสถานี Shinjuku และสถานี Kawaguchiko ใช้เวลาประมาณ 1.45 ชม. ค่ารถเที่ยวละ 1,750 เยนต่อคน (ไปกลับ 3,500 เยนต่อคน) ความจริงเราสามารถจองตั๋วล่วงหน้าผ่าน website ได้ ลองเข้าไปดูรายละเอียดตาม link นี้ได้เลย 


"ตั๋วรถบัสขากลับ (ขาไปลืมถ่าย) ในตั๋วด้านบนสุดจะระบุวันและเวลาที่เดินทาง
ถัดมาเป็นราคา ส่วน KO1118 คือหมายเลขรถบัส
บรรทัดถัดมาหมายเลข 1 ตอนแรกเราคิดว่าเป็นป้ายรถที่จะขึ้น แต่จริงๆ แล้วคือ เลขที่รถ (รถคันที่ 1)
เนื่องจากบางครั้งเวลาเดียวกันไปสถานที่เดียวกัน หมายเลขรถบัสเหมือนกัน ก็ต้องสังเกตเลขที่รถด้วย
ส่วน 02C หรือ 02D คือเลขที่นั่ง"

หลังจากได้ตั๋วรถบัสมาแล้ว ก็สบายใจไปกินเครปกันได้แล้ว จากสถานีรถไฟ Shinjuku ขึ้นสาย JR Yamanote (Inner loop) ลงที่สถานีรถไฟ Harajuku ค่ารถไฟ 140 เยน ถ้ามีตั๋ว Tokunai Pass แล้วก็ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม เราสองคนออกตรงทางออก Takeshita Exit พอพ้นตัวสถานีรถไฟออกมาเราก็จะเจอถนน Takeshita แหล่งรวมของวัยรุ่นญี่ปุ่นที่ชอบแต่งตัวแบบ Cosplay ซึ่งจะมีมากในวันอาทิตย์ แต่วันที่เราไปเป็นวันพฤหัสเลยอดเห็นเลย

"สถานีรถไฟ JR Harajuku"
"ป้ายเขียวๆ เป็นสัญลักษณ์ของรถไฟ JR"
"ฝั่งตรงข้ามคือ ถนน Takeshita" 

"ประตูทางเข้าสู่ถนน Takeshita"

พอเดินข้ามฝั่งมาที่ถนน Takeshita เท่านั้นแหล่ะ เหมือนได้กลับมายืนอยู่ที่ประเทศไทย ถนนทั้งถนนมีแต่คนไทยทั้งนั้น รู้สึกไม่เหงาดี เราสองคนก็เดินแบบผ่านๆ ไม่ได้แวะดูร้านไหนเป็นพิเศษ

"ร้านค้าสองข้างฝั่งถนน Takeshita"
"ของกระจุ๊กกระจิ๊ก"

"เสื้อผ้าน่ารักๆ เต็มเลย"

"ร้านนี้ขายหลายอย่างจริงๆ"

"ชอบน้องแมว"

"ร้าน Sanuki Udon Hanamaru มาแอบอยู่นี่เอง"
"ร้านแต่ง Cosplay"

แต่ร้านที่ต้องแวะเสมอคือร้าน Matsumoto Kiyoshi เพราะว่ายังไม่ได้ครีมกันแดด Anessa ราคาโดนๆ เลย สำหรับสาขานี้ถูกกว่าสาขาอื่นๆ ที่เราสำรวจมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่ไม่แน่ใจว่าราคาที่เขียนไว้มันรวมภาษีหรือยัง เลยยังไม่ซื้อดีกว่า
"สาขา Harajuku ราคา 2,268 เยน แต่ไม่แน่ใจว่ารวมภาษีหรือยัง"
หลังจากเดินเล่นดูร้านโน้นร้านนี้ซักพัก ก็ถึงเวลากินเครปกันแล้ว เครปมีอยู่ด้วยกัน 2 ร้านอยู่ประจันหน้ากันเลย ร้านขวามือสีฟ้า คือ ร้าน Patisserie Marion Crepes ร้านซ้ายมือสีชมพู คือ ร้าน Angels Heart จากข้อมูลร้านสีฟ้าเป็นร้านที่นักท่องเที่ยวมักจะกินกัน ส่วนร้านสีชมพูก็เป็นร้านดั้งเดิม โอ๊ย!! เล่นเอาเลือกไม่ถูกเลย เอาไงดี

 "ร้าน Patisserie Marion Crepes...ร้านยอดนิยม"
"ร้าน Angels Heart...ร้านดั้งเดิม" 

หลังจากขบคิดมาได้ซักพัก เราก็ตัดสินใจเลือกร้าน  Angels Heart  เพราะว่ามันมีที่นั่งว่างอยู่ให้นั่งแอบกินได้ ไม่ต้องยืนกินให้อายเด็กๆ แถวนั้น 555 ส่วนเครปที่เลือกก็ขอแบบธรรมดาสุด คือ Ice Strawberry Whipped Cream อันละ 440 เยน
  
"เมนูเครปร้าน Angels Heart"




"Ice Strawberry Whipped Cream เป็นเมนูที่เราเลือก"
"มาแอบดูน้อง Katou ทำเครปให้เราดีกว่า"

"เอ่อ...น้อง Katou คะ สตรอว์เบอร์รี่มันน้อยไปหรือเปล่าคะ"

"ในที่สุดเครปก็ตกอยู่ในมือเราแล้ว"

"การจัดวางของน้อง Katou ทำให้เห็นส่วนประกอบทุกอย่างครบถ้วน
ไม่ว่าจะเป็นวิปครีม ไอศครีมวนิลา และสตรอว์เบอร์รี่"

เครปเป็นแป้งแบบเนื้อนุ่ม ครีมสดก็หอมมันและเนื้อเนียนดี ไอศครีมหวานหอมกลิ่นวนิลา มีสตรอว์เบอร์รี่มาตัดเปรี๊ยวนิดๆ  แต่รู้สึกว่าจะให้สตรอว์เบอร์รี่น้อยไปหน่อย ยอมรับว่าอร่อยกว่าบ้านเรา (เท่าที่เคยกินนะ บ้านเราอาจจะมีที่อร่อยกว่า ไว้ถ้าเจอจะมารีวิวใน link นี้)

ได้กินเครปแล้วก็ถือว่าจบภารกิจที่ถนน Takeshita แล้ว ต่อไปเราจะเดินไปศาลเจ้า Meiji หรือ Meiji Jingu กัน เราสองคนเดินข้ามฝั่งกลับมาที่สถานี Harajuku ถ้าหันหน้าเข้าสถานีก็ให้เดินไปทางซ้าย แต่ถ้าหันหน้าออกจากสถานีด้านหน้าเป็นถนน Takeshita ให้เดินไปทางขวาเรื่อยๆ (เรื่องหันซ้ายหรือขวา ต้องดูด้วยว่าเราออกประตูไหนของสถานี กรณีของเราเป็นประตู Takeshita Exit) จนเจอสะพาน Jingu  แล้วเดินข้ามสะพานไป จากนั้นให้เบี่ยงไปทางขวาก็จะเจอทางเข้าเดินไปสู่ศาลเจ้า Meiji ต่อไป 

"เจอแล้วสะพาน Jingu " 
"เดินข้ามสะพานไปแล้วเลี้ยวขวา"
"เลี๊ยวปุ๊บก็จะเจอประตู Torii ขนาดยักษ์ประตูแรก 
พอผ่านประตูนี้แสดงว่าเราเข้าสู่เขตศาลเจ้า Meiji แล้ว 
(อย่าลืมโค้งคำนับ 1 ที ก่อนเดินผ่านประตู Torii เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ)"

"ทางเข้ามีต้นไม้ร่มรื่นสองข้างทาง"

"หนทางยังอีกยาวไกล แต่อากาศเย็นสบายเดินได้เรื่อยๆ"
"บรรดาเหล้าสาเกจากผู้ผลิตสาเกที่นำมาบริจาคแก่ศาลเจ้าเพื่อใช้ในพิธีกรรมต่างๆ"

"ถังสาเกเหล่านี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของศาลเจ้าต่างๆ ไปแล้ว"
ศาลเจ้า Meiji เท่าที่อ่านมาสร้างเพื่ออุทิศให้แก่จักรพรรดิ Meiji และจักรพรรดินี Shoken  นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานต่างๆ เช่น งานแต่งงานแบบญี่ปุ่น งานเทศกาลหรือพิธีกรรมต่างๆ  วันที่เราไปก็ไปเจอเค้ากำลังทำพิธีกรรมอะไรกันซักอย่างเหมือนกัน พอกลับมาถึงรู้ว่าวันพรุ่งนี้ (11 เมษายน 2557) ทางศาลเจ้าจะจัดพิธีรำลึกครบรอบ 100 ปี การสวรรคตของจักรพรรดินี Shoken  วันนี้อาจจะเตรียมการมั้ง  สำหรับค่าเข้าชมศาลเจ้าฟรี  ยกเว้นส่วนที่เป็น Treasure Museum ซึ่งแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของจักรพรรดิ Meiji และจักรพรรดินี Shoken  ต้องเสียเงินค่าเข้าชม 500 เยน รายละเอียดเพิ่มเติมดูที่ website ของศาลเจ้า Meiji ตาม link นี้ได้เลย

"เดินมาเจอประตู Torii ประตูที่ 2"

"เดินอยู่ดีๆ ก็มีเจ้าหน้าที่ขอให้หยุดเดินกันก่อน"

"อ๋อ..มีขบวนเดินผ่านมานั่นเอง"

"ขบวนอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่นักท่องเที่ยวทุกคนต่างยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปพร้อมๆ กัน"
"อยู่ดีๆ ลมก็พัดแรงมาก ใบไม่ร่วงกระจาย ทำให้ใจคอไม่ดีว่าดอกซากุระที่ kawaguchigo มันจะร่วงหมดไหมว๊า"

"ที่เห็นเป็นจุดๆ เต็มท้องฟ้า มันคือใบไม้ที่ถูกพัดร่วงลงมาทั้งนั้น"
"เนื่องจากวันพรุ่งนี้ (11 เมษายน 2557) ทางศาลเจ้าจะจัดพิธีรำลึกครบรอบ 100 ปี การสวรรคตของจักรพรรดินี Shoken เข้าใจว่าน่าจะเป็นการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับงานนี้หรือเปล่าไม่แน่ใจ"

"ป้ายนิทรรศการส่วนใหญ่เป็นภาษาญี่ปุ่นตัวคันจิ อ่านไม่ออก เดาๆ เอา"

"ร่มรื่นน่านั่งพักจัง"
"ในที่สุดก็ถึงศาลเจ้าซะที"
"ก่อนจะเข้าและออก อย่าลืมโค้งคำนับ 1 ที"

"ประตูทางเข้าไปสู่ศาลเจ้า"
"กว่าเราจะมาถึงก็เย็นแล้ว โชคดีที่ยังไม่ปิด"

"แวะซื้อเครื่องรางกันได้ที่นี่"

"ต้นไม่สองต้นดูสมดุลย์กันมาก"

"ต้นไม้สองต้นมีเชือกผูกโยงไว้ด้วยกัน เหมือนแต่งงานกัน หรือเรียกว่าเป็นต้นไม้สามีภรรยาก็คงจะได้"

"ต้นไม้สองต้นนี้จะอยู่เคียงคู่เจริญเติบโตไปพร้อมๆ กัน เพื่อสู้กับมรสุมต่างๆ ไปด้วยกัน"

"ถ้าสังเกตให้ดีจะมีเจ้าหน้าที่คอยแจ้งไม่ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปภายในศาลเจ้า
แต่ถ้าถ่ายแล้วก็แล้วกัน แต่ถ้าเตือนแล้วยังถ่ายต่ออีกแบบนี้ไม่ดีนะคะ"

"ในศาลเจ้ากำลังทำพิธีอะไรกันอยู่เชียว 
(ภาพนี้ถ่ายก่อนที่จะรู้ว่าห้ามถ่าย ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง)"

"แผ่นป้ายขอพรต่างๆ"

"ด้านขวามือเป็นที่นั่งพักก่อนเตรียมตัวเดินกลับ"
'เจ้าหน้าที่เตรียมปิดศาลเจ้า ได้เวลากลับกันละ"

ได้เวลากลับที่พักกันแล้ว เราเดินออกจากศาลเจ้า Meiji ไปที่สถานีรถไฟ Harajuku ใช้เวลาเกือบ  30 นาที จากสถานีรถไฟ Harajuku ขึ้นสาย  JR Yamanote Line(Inner loop) ลงสถานีรถไฟ Osaki ค่ารถไฟ 170 เยน (ใช้บัตร Tokunai Pass ได้) ต่อสาย Rinkai ลงสถานีรถไฟ Kokusai-Tenjijo ค่ารถไฟ 330 เยน (ใช้บัตร Tokunai Pass ไม่ได้ต้องจ่ายเพิ่ม) 


พอมาถึงสถานีรถไฟ Kokusai-Tenjijo แล้ว ขวามือจะเป็น Lawson เราสองคนก็แวะซื้ออะไรนิดหน่อย ระหว่างเดินจากสถานีไปที่พัก นึกขึ้นได้ว่ายังมีข้าวปั้นจากร้าน Omusubi Jukichi เหลืออีก 1 ชิ้น ที่ซื้อเพิ่มมาจากที่เค้าจัดเป็น set ไว้แล้ว เป็นข้าวปั้นไส้ Mentaiko เลยหยิบมากินก่อนที่จะลืม
   

"สถานีรถไฟ Kokusai-Tenjijo"

"เดินทะลุประตู Panasonic ไปก็ถึงโรงแรม Sunroute Ariake แล้ว (ยอดตึกซ้ายมือ)"
"ข้าวปั้นไส้ Mentaiko ราคา 210 เยน เค็มๆ มันๆ เผ็ดเล็กน้อย"

พอข้าวปั้นตกถึงท้อง เหมือนไปปลุกพยาธิให้มันตื่น แทนที่จะกลับห้องพักก่อน เราสองคนเลยแวะที่ Tokyo Fashion Town Building (TFT) ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมของเราเพื่อไปหาข้าวเย็นกินกันต่อเลย (จริงๆ ถ้ามาทางสถานีรถไฟ Kokusai-Tenjijo Seimon สาย Yurikamome จะใกล้กว่าและสะดวกกว่าเพราะมีทางเชื่อมต่อจากสถานีมาที่ตึก TFT เลย แต่วันนี้เรามาสาย Rinkai เลยต้องลงที่สถานี Kokusai-Tenjijo)  เดินเลือกร้านกันอยู่นานพอสมควร สุดท้ายตัดสินใจกินที่ร้าน Kagaya ซึ่งเป็นร้านที่ขายอาหารญี่ปุ่น พนักงานในร้านเป็นคุณลุงคุณป้าและเด็กสาวคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าเป็นธุรกิจเล็กๆ ภายในครอบครัว แต่พอได้มาดู website ของร้านนี้ไม่ธรรมดาแฮะ


"เมนูที่ติดอยู่ที่หน้าร้าน Kagaya"

 อาหารที่เราสั่งเป็นอาหารชุด 2 ชุด ชุดแรก คือ Unagi – Mabushi เป็นข้าวหน้าปลาไหลที่มีวิธีกิน 4 แบบ แบบที่ 1 กินโดยไม่ใส่เครื่องเคียงอะไรเลย แบบที่ 2 ใหัใส่สาหร่าย วาซาบิ และต้นหอม แบบที่ 3 เติมน้ำซุปลงไปในข้าว ส่วนแบบที่ 4 เลือกกินแบบ 1-3 ที่เราชอบที่สุด แต่ดูแล้วข้าวมันน้อยซะเหลือเกิน เกรงว่าจะไปไม่ถึงแบบที่ 3 ล่ะซิ  สำหรับชุดนี้เสิร์ฟมาพร้อมกับ Sashimi (กุ้ง หอยเชลล์ และปลาทูน่า) ไข่ตุ๋น ซุป และผักดอง สนนราคา 2,200 เยน 


"Unagi – Mabushi Set...แต่เราสั่งบ๊วยดองเพิ่มมาด้วย บ๊วย 1 เม็ด ราคา 150 เยน 
(มุมบนขวาสุด)" 

"มีการอธิบายวิธีกินให้ด้วย"

"ข้าวถ้วยเท่านี้จะกินถึงแบบที่ 3 ไหม"
"Sashimi สดและหวานมาก ไม่เหม็นคาวเลย"

"ไข่ตุ๋นนุ่มละมุน"
อาหารชุดที่ 2 คือ ข้าวหน้าสเต๊กเนื้อ เสิร์ฟมาพร้อมไข่ตุ๋น ซุปมิโสะและผักดอง ราคา 1,400 เยน สำหรับเครื่องดื่มทางร้านบริการน้ำชาร้อนฟรี

"ชุดข้าวหน้าสเต๊กเนื้อ"
"หน้าตาดูน่ากินมิใช่น้อย...มีไข่หั่นฝอยรองเนื้อด้วย (หิวจัดมือไม้สั่นถ่ายไม่ชัดเลย)"
 สำหรับรสชาติอาหารก็ถือว่าอร่อยใช้ได้นะ แต่ก็ยังไม่โดนเท่าไหร่ เราอาจจะชินกับอาหารญี่ปุ่นรสเข้มข้นที่บ้านเรามากไป พอมากินที่ญี่ปุ่นจริงๆ รู้สึกมันจะจืดๆ ไปนิดนึง  แต่โดยคุณภาพของวัตถุดิบที่สดใหม่เลยทำให้อาหารญี่ปุ่นที่นี่อร่อยได้ด้วยรสแบบธรรมชาติ แต่ที่ประทับใจร้านนี้ที่สุดคงเป็นคุณลุงคุณป้าที่คอยบริการและเอาใจใส่ลูกค้าเป็นอย่างดี อย่างตอนที่เอาข้าวหน้าปลาไหลมาเสิร์ฟให้เรา ซึ่งในถาดจะมีกระดาษใส่วิธีกินเป็นภาษาญี่ปุ่นมาให้เราด้วย คุณป้าคงเห็นเป็นเราเป็นคนต่างชาติก็อุตส่าห์มาอธิบายวิธีกินให้เราฟังประกอบด้วย (แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นนะ 555) ตอนหลังแกก็ไปหยิบเมนูและวิธีกินที่เป็นภาษาอังกฤษให้เรามาดู นี่แหล่ะความใส่ใจของคนญี่ปุ่น อยากให้บ้านเรามีร้านที่เอาใจใส่ลูกค้าแบบนี้เยอะๆ จัง


กินอาหารค่ำเสร็จแล้ว เราสองคนก็เดินกลับมาที่โรงแรม เดินไม่ถึง 5 นาทีก็กลับมาถึงห้องพักละ แต่แทนที่จะนอนต้องขอพิสูจน์ Mochi Ichigo หรือโมจิไส้สตรอว์เบอร์รี่ของร้าน Lawson หน่อยซิว่าจะเป็นยังไง  
 
"บรรจุภัณฑ์น่ารักดี...มีภาพอธิบายเสร็จสรรพว่าโมจิชิ้นนี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ชิ้นนี้ราคา 140 เยน"

"แป้งที่เคลือบไว้ด้านนอกเริ่มหาย สงสัยอยู่นอกตู้เย็นนานไปหน่อย"

"ข้างนอกเป็นแป้งโมจิเหนียวๆ  ชั้นที่สองเป็นครีมสด สุดท้ายเป็นสตรอว์เบอร์รี่ 1 ผล"
หลังจากชิมแล้ว ก่อนชิมก็ไม่คาดหวังอะไรมากว่าจะเป็นยังไง พอชิมแล้วก็พอใช้ได้อยู่  ไว้รอไปชิมของร้าน La Porte เจ้าดังที่สถานีรถไฟ JR Yurakucho ในวันต่อๆ ไปดีกว่า วันนี้ได้เวลาอาบน้ำ แปรงฟัน เตรียมเข้านอนไปลุยต่อกันในวันพรุ่งนี้...Oyasuminasai