เช้าแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวไปเยี่ยม Hachiko
ที่สถานีรถไฟ Shibuya กันดีกว่า
การเดินทางจากโรงแรม Sunroute Ariake
ง่ายๆ ตามนี้เลยค่ะ เริ่มต้นจากสถานี Kokusai-Tenjijo ขึ้นสาย Rinkai Line ใช้เวลาประมาณ 14 นาที แล้วลงที่สถานี Osaki (ค่ารถไฟ 330 เยน) หลังจากนั้นต่อสาย JR
Yamanote Line(Outer loop) ใช้เวลา 9 นาที ก็ถึงสถานี JR Shibuya
แล้ว (ค่ารถไฟ 160 เยน) ถ้าอยากจะเจอกับ Hachiko
ต้องออกทาง Hachiko Exit ความจริงเราสามารถเดินทางโดยรถไฟได้หลายทาง
ก็แล้วแต่ว่าเวลาที่เราไปถึงสถานีรถไฟแล้ว รถไฟสายไหนมาถึงก่อนกัน ก็ดูตามความเหมาะสมและความประหยัดดีกว่าเน๊อะ
วิธีเช็คการเดินทางสามารถทำได้ง่ายๆ
โดยอาศัยตัวช่วยจาก website hyperdia นี้เลยค่ะ
(http://www.hyperdia.com/en/)
แต่เนื่องจากก่อนการเดินทางเราทำแผนเที่ยวไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเดินทางโดยรถไฟสาย JR ทั้งวัน คำนวณค่ารถไฟแล้วซื้อตั๋วรถไฟ JR East แบบ Tokyo Metropolitan District Pass (Tokunai Pass) คุ้มกว่า ตกคนละ 750 เยน สามารถขึ้นลงรถไฟสาย JR ทั้งแบบ local และ rapid ได้แบบไม่จำกัดเที่ยวภายใน 1 วัน (ยกเว้นตู้แบบสำรองที่นั่งต้องเสียตังส์เพิ่ม) เท่านี้ก็ประหยัดเงินค่าเดินทางได้อีกพอสมควร ตั๋วนี้สามารถซื้อได้ที่ตู้ขายตั๋วรถไฟอัตโนมัติของสาย JR ที่สถานีรถไฟได้เลย
|
"หน้าตาตั๋ว Tokunai Pass" |
หลายๆ
คนคงจะรู้จัก Hachiko กันดีอยู่แล้ว
แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่ทราบ ก็ขออนุญาตเล่าคร่าวๆ ว่า Hachiko เป็นน้องหมาพันธุ์อะคิตะ ที่มาคอยรับส่งเจ้านายซึ่งเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโตเกียวที่สถานีรถไฟ Shibuya ทุกๆ วัน จนวันหนึ่งเจ้านายของ Hachiko เสียชีวิตขณะทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยและไม่มีวันได้กลับมาหา Hachiko
อีก แต่ Hachiko ก็ยังคงมารอรับเจ้านายที่สถานี
Shibuya ทุกวัน จน Hachiko
ตายในอีกหลายปีต่อมา
ชาวญี่ปุ่นเลยสร้างอนุสาวรีย์ที่บริเวณสถานีรถไฟ Shibuya เพื่อเป็นการระลึกถึงความซื่อสัตย์ให้แก่
Hachiko จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้นำอนุสาวรีย์
Hachiko ไปหลอมใช้เป็นอาวุธสงคราม
แต่ต่อมาก็ได้มีการหล่อขึ้นมาใหม่และปัจจุบันอนุสาวรีย์
Hachiko ก็กลายเป็นที่นัดหมายพบปะของผู้คนคล้ายๆ กับเป็นสัญลักษณ์การรอคอยอย่างหนึ่งเหมือนกัน
และมีหลายคนยังคงมาทักทายรวมทั้งถ่ายรูปกับ Hachiko เหมือนๆ
กับเราเหมือนกัน (สามารถอ่านเรื่องราวอย่างค่อนข้างละเอียดของ Hachiko ตาม link ได้เลยค่ะ)
|
"Hachiko...ยังคงนั่งรอคอยเจ้านายจวบจนทุกวันนี้" |
|
"Hachiko เป็นนัดหมายพบปะของผู้คนใน Shibuya" |
ทักทายกับ Hachiko เรียบร้อยแล้ว ไปนั่งดูความชุลมุนของห้าแยก
Shibuya กันต่อเลย ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์ Hachiko
นี่แหล่ะ ห้าแยกนี้ขึ้นชื่อเรื่องภาพมวลมหาประชาชน (คนละอย่างกับบ้านเรา) เดินข้ามห้าแยกพร้อมๆ กัน
จุดที่เหมาะกับการถ่ายภาพ คือ ร้านกาแฟ Starbuck ชั้น 2 ตึก Q Front ตรงห้าแยกนั้นเลย
|
"ห้าง Tokyu อยู่ติดๆ กับอนุสาวรีย์ Hachiko" |
|
"จุดหมายอยู่ที่ Starbuck ชั้น 2 ตึก Q Front" |
|
"เราสองคนก็เป็นส่วนหนึ่งของความชุลมุนของห้าแยกนี้เหมือนกัน" |
|
"มาดูความชุลมุนไม่ทัน...ไม่เป็นไร...รอไฟแดงรอบใหม่ได้...(ทำเหมือนว่างกันนะ)
ค่าเสียหายของกาแฟ 2 แก้วรวมแล้ว 777 เยน" |
|
"วันนี้คนไม่เยอะมากเท่าที่ควร สงสัยจะเลยเวลาเข้างานกันแล้ว" |
หลังจากทำตัวเหมือนว่างนั่งดูผู้คนที่ห้าแยก Shibuya กันได้ซักพัก เราสองคนก็ออกจากร้าน Starbuck แล้วไปเดินเล่นกันที่ถนน Center
Gai กัน ถนนนี้เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขนม
และสารพัดร้านอื่นๆ มากมาย (แต่ส่วนใหญ่เราก็เน้นเล็งแต่ร้านอาหาร
สังเกตว่ารูปที่ถ่ายมามีแต่ร้านขายอาหาร ก็แบบว่าของมันชอบนี่นา สนใจอ่านรีวิวของเราสองคนเกี่ยวกับร้านอาหาร
ของกิน ของใช้ ของฝาก ตามได้ที่ link นี้ได้เลยค่ะ)
|
"ตึก Shibuya 109 Men อยู่ตรงข้ามกับตึก Q Front... ชื่อก็บอกอยู่ว่าตึกนี้ขายสินค้า(ประเภทเสื้อผ้า) สำหรับคุณผู้ชาย" |
|
"ร้าน Ramen ใน Shibuya ร้านขวามือคือร้าน Kindenmaru" |
|
"ซ้ายร้าน Cafe Miyama...ขวา ร้าน Pet Super Wan เห็นแล้วคิดถึงแมวที่บ้านขึ้นมาทันใด" |
|
"Burger King เสียดายทริปนี้ไม่ได้ลองชิมเลย" |
|
"ร้านราเม็งอีกร้าน...Aji Gen" |
|
"ร้าน Yanbaru (คำก่อนหน้าอ่านไม่ออก 555) ขายอาหาร Okinawa" |
|
"ร้าน Genki Sushi...ตอนนี้มาเปิดสาขาที่ประเทศไทยแล้ว" |
|
"ราคาถูกกว่าสาขาที่ประเทศไทยพอสมควร" |
เดินจนรอบเข้าซอยโน้นออกซอยนี้ก็มาปะกับร้าน Pablo ซึ่งเป็นร้านขาย Cheese Tart ชื่อดังจาก Osaka (อยากกรี๊ดอ่ะ)
ได้ยินชื่อเสียงมานานละ อยากลองจริงๆ จุดเด่นของ Cheese Tart ร้านนี้ คือ จะมีให้เลือกว่าถ้าอยากได้ Cheese แบบเยิ้มๆ ก็ต้องเลือกแบบ Rare แต่ถ้าไม่ชอบให้ Cheese
ไหลเปรอะเปื้อนหน้าเปื้อนตาเวลาหม่ำก็เลือกแบบ Medium...เดินผ่านกระจกที่เค้ากำลังทำ Cheese Tart โชว์อยู่ ความอยากยิ่งพลุ่งพล่าน จนเดินวนไปถึงตัวหน้าร้าน แป่วววว...ร้านยังไม่เปิด(ร้านเปิดสิบโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม T_T) หมดกัน..เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่าร้านจะเปิด...รอไม่ไหวจริงๆ อดไป
|
"ร้าน Pablo...กลิ่น Cheese หอมทะลุกระจกออกมาเลย" |
|
"โชว์กรรมวิธีการทำให้เห็นกันจะจะ (น้ำลายยืดเกาะอยู่หน้ากระจก)" |
|
"ด้านซ้ายมี topping เป็นผลไม้สดๆ.. ด้านขวาเป็นแบบ original บนเป็นแบบ rare ไส้ทะลัก...ส่วนล่างเป็นแบบ medium เรียบเนียน" |
|
"กรรม...ร้านยังไม่เปิด" |
ว่าแล้วเราก็เดินข้ามห้าแยก Shibuya ผ่านอนุสาวรีย์ Hachiko มาที่ห้าง Tokyu ระหว่างทางก็ผ่านร้านปาจิงโกะ โอ้โห...มีคนมารอต่อแถวเข้าร้านกันแต่เช้าเลย
กินข้าวกินปลากันมาหรือยังเนี่ย…พูดแล้วก็หิว...หลังจากพลาด Cheese Tart จากร้าน Pablo
แล้ว เราสองคนก็ตรงดิ่งไปที่แผนกอาหารของห้าง Tokyu กันเลย
|
"เอ่อ....เข้าคิวเล่นปาจิงโกะกันแต่เช้าเลยเหรอ" |
|
"ขนม Hachiko น่าจะมีที่สาขานี้ที่เดียวนะ" |
|
"ช่วงที่ไปเป็นช่วงเทศกาล Easter พอดี เลยมีขนมต้อนรับเทศกาล Easter หลากหลายแบบ" |
ด่านแรกที่เจอแล้วต้องสะดุดเป็นร้านขายผลไม้
ซึ่งดูแล้วเน้นสตรอว์เบอร์รี่กับลูก Biwa เป็นหลัก
ไอ้เราก็มัวแต่สนใจสตรอว์เบอร์รี่ เห็นแบ่งชนชั้นราคากันหลากหลายหน้าดู ลืมดูลูก Biwa
ไปเลย (Biwa เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น
เค้าว่ากันว่าถ้ากินสดๆ เนื้อจะนุ่มหวานหอมฉุ่มฉ่ำเหมาะสำหรับช่วงหน้าร้อน) เลยได้ภาพ
Biwa ติดมาเล็กน้อย
|
"ซ้าย สตรอว์เบอร์รี่แพคละ 498 เยน...ขวาบน Biwa 12 ลูก 3,240 เยน ขวาล่าง 5 ลูก 1,080 เยน" |
|
"สตรอว์เบอร์รี่ฝั่งนี้แพคละ 550 เยน" |
|
"บอกแหล่งที่มาของสตรอว์เบอร์รี่อย่างละเอียด... นี่แหล่ะเสน่ห์ในเรื่องอาหารของประเทศนี้ (แต่ว่าอ่านไม่ออกอ่ะ)" |
|
"ซ้าย สีออกขาวๆ เม็ดแดงๆ ถ้าไม่ใช่สตรอว์เบอร์รี่ไม่สุก (555) ก็น่าจะเป็น Pineberry รสชาดและกลิ่นเหมือนสับปะรด 2 ลูก 1,080 เยน (ราคาขนาดนี้...กินสับปะรดน่าจะดีกว่า)... ส่วนขวามือ 1 ลูก 864 เยน มันคือสตรอว์เบอร์รี่ขั้นเทพหรืออย่างไร" |
|
"จัดเป็นแพคสวยงาม...ซ้าย Pineberry 10,800 เยน...กลางและขวา สตรอว์เบอร์รี่ 4,320 เยน
และ 3,780 เยน" |
หลังจากสำรวจราคาสตรอว์เบอร์รี่อยู่สักพัก
ไม่ต้องคิดอะไรมาก ดูแล้วก็เหมือนๆ กันหมด จะเลือกของแพงไปไย แพค 480 เยนจัดมา...
ได้ของหวานแล้ว
ของคาวเช้านี้ยังไม่ได้เลย...เราเข้าไปข้างในต่อเรื่อยๆ
ก็เข้าสู่โซนอาหารกันแล้ว...โอ๊ย!!! ตอนนี้เสียงท้องร้องไม่เป็นภาษาแล้ว...น่ากินไปหมดเลย
เสียดายไม่ค่อยกล้ายกกล้องขึ้นมาถ่ายไม่รู้ว่าเค้าอนุญาตให้ถ่ายได้หรือเปล่า ครั้นจะยกกล้องแอบถ่าย อีกล้องของเราก็ดันสีชมพูแปร๊ด...ส่วนของโยกี้ก็เห็นเลนส์ชัดมาแต่ไกลเชียว
เลยเก็บภาพมาได้นิดหน่อย
|
"โซนอาหารที่ห้าง Tokyu ชั้น B1F" |
|
"เดินวนไปมาหลายรอบ เลือกไม่ถูก" |
เดินวนเวียนไปมาอยู่โซนอาหารหลายรอบเลือกกันไม่ถูกจริงๆ
เยอะมาก...ดูนาฬิกา เฮ้ย!!! นี่มันจะสิบเอ็ดโมงอยู่แล้วนี่
เดี๋ยวก็ต้องไปกินข้าวกลางวันที่ Yebisu อีก พลาดไม่ได้ด้วยรายการนี้
ตั้งใจมาจากกรุงเทพฯ ว่าต้องไปกินร้านนั้นให้ได้ ไม่ได้กินฉันต้องอาฆาตแน่ๆ (มาแนวเดียวกับร้านซูชิที่
Diver
City Tokyo Plaza อีกแล้ว จะผิดหวังอีกหรือไม่ โปรดติดตาม 555) เราสองคนเลยต้องจำใจเลือกอาหารรองท้องเล็กน้อย สุดท้ายก็ได้ข้าวปั้นร้าน Omusubi Jukichi มา แต่ก็ไม่รู้จะไปนั่งกินกันตรงไหนดี เลยต้องถือไปย่าน Ebisu ด้วย ค่อยไปหาที่นั่งกินแถวนั้นละกันนะ
|
"ร้านข้าวปั้น Omusubi Jukichi" |
|
"ข้าวปั้นร้านนี้แหล่ะ...รองท้องไปก่อน" |
ตอนนั้นเราก็สงสารโยกี้มาก รู้ทั้งรู้ว่าโยกี้หิวมาก ไม่คิดว่าเวลาอาหารเช้าจะเลยมามากขนาดนี้ แต่อีกไม่ถึง 2 ชั่วโมงเราก็ต้องไปกินข้าวกลางวันกันที่ Ebisu อยู่แล้ว ไอ้เราก็กลัวว่าร้านอาหารกลางวันที่เราอยากจะนำเสนอนักหนาเนี่ย ถ้าโยกี้เกิดอิ่มขึ้นมา แล้วกินไม่ลง เราก็คงกร่อยไปด้วยแน่ๆ เลยต้องให้โยกี้กินเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อน (โหดไปไหม)...ปล. อย่าหวังหาอาหารเช้าที่ญี่ปุ่น เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่เปิดเวลา 10 โมง หรือ 11 โมง ที่พึ่งที่ดีที่สุดยามเช้าคือร้านประเภทมินิมาร์ททั้งหลายนั่นเอง ส่วนโยกี้จะได้กินอาหารเช้าหรือไม่ อย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปเร็วๆ นี้