kitty wedding

kitty wedding

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วันที่ 11 เมษายน 2557 ตอนที่ 3 สวน Ueno ตลาด Ameyoko และ Tokyo Tower

หลังจากเดินเที่ยวถนน Nakamise นั่งกินเมล่อนปังกว่าหมด 1 ก้อน (ขอสารภาพว่าเราสองคนกินกันไม่หมด ไม่น่าเชื่อ...) เราก็ไปต่อกันที่สวน Ueno การเดินทางจากวัด Sensoji คือ จากสถานี ASAKUSA (G19) ต่อสาย Tokyo Metro Ginza Line (สายสีส้ม) ลงสถานี UENO (G16) ใช้เวลา 5 นาที โดยออกทางออกที่ 7 และเช่นเดิมใช้บัตร Tokyo Metro 1-Day Open Ticket ได้เลยไม่ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม

ภาพที่วาดไว้ที่สวน Ueno คือ ดอกซากุระบานสะพรั่งเต็มทั้งสวน พอเข้าไปภายในสวน ต๊าย...ตาย ส่วนใหญ่ดอกซากุระร่วงไปเกือบหมดแล้ว ดีที่พอมีเหลือให้เห็นประปรายบ้าง T_T


สิ่งแรกที่เข้ามาในสวน Ueno แล้วอยากเห็นคือ อนุสาวรีย์ท่าน Saigo Takamori ซามูไรคนสุดท้าย ที่ยึดมั่นอุดมการณ์แบบ Bushido จนต้องปลิดชีวิตนเองด้วยการคว้านท้อง สำหรับประวัติของท่าน Saigo สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก wikipedia ค่ะ



อนุสาวรีย์ท่าน Saigo Takamori ซามูไรคนสุดท้าย
เดินต่อเข้าไปด้านในก็เจอศาลเจ้า Kiyomizu Kannon-do

ป้ายขอพรหลากหลายภาษา

ใบเซียมซีที่ไม่ดีก็จะผูกทิ้งไว้ตรงนี้...เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่จะนำไปทำพิธีเผาทำลายสิ่งไม่ดีต่อไป
ซากุระต้นนี้ทำให้บรรยากาศรู้สึกชวนเหงาๆ อย่างบอกไม่ถูก
มุมมองจากระเบียงศาลเจ้า Kiyomizu Kannon..มองไกลๆ ด้านล่างเหมือนมีร้านแผงลอยนะ ลองลงไปดูกันดีกว่าเน๊อะ

จริงๆ ภาพนี้ควรจะเป็นซุ้มดอกซากุระใช่ไหม...ฮือๆๆ
ร้านแผงลอยตลอดสองข้างทางไปยังศาลเจ้า Benten-do Shrine

ปลาย่างเอ๊ะหรือว่าปลาปิ้งดี เอาเป็นว่าอยากลองมานานละ 1 ตัว 500 เยน
สงสัยจะทิ้งไว้นานไปหน่อยหรือไม่อากาศก็เย็นเกิน เลยไม่ค่อยโดนเท่าไหร่
หน้าศาลเจ้า Benten-do Shrine 

สำหรับเราสองคนสุดทางสวน Ueno แค่ศาลเจ้า Benten-do Shrine ตรงนี้ ถึงเวลาออกไปตลาด Ameyoko กันแล้ว เราเดินออกจากสวนอีกประตูหนึ่งซึ่งเป็นทางออกที่มีสระน้ำ Shinobazu ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับศาลเจ้า Benten-do Shrine สำหรับใครที่จะมาสวน Ueno แนะนำว่าอย่าวันจันทร์นะคะ ได้ข้อมูลมาว่ามันปิดค่ะ เพื่อความมั่นใจหลีกเลี่ยงวันจันทร์จะดีกว่า


ระหว่างทางออกจากสวน Ueno เจอคุณพี่คนนี้กำลังให้อาหารนกอยู่
นกเชื่องมากไม่กลัวคนเลย
โชคดีที่มาเจอต้นซากุระเรียงแถวอยู่ตรงทางออกของสวน Ueno ดอกชมพูแปร๊ด! ดอกโตกว่าที่โอไดบะอีก ดีใจๆ 
พอออกจากสวน Ueno มองออกไปฝั่งตรงข้ามก็คือตลาด Ameyoko ได้เวลาเสาะหาของกินของฝากกันอีกแล้ว ว่าแล้วเราสองคนก็เดินจ้ำๆ ข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วก็เดินต่อไปนิดเดียวก็เจอทางเข้าเรียกว่า Ameyayokocho แล้ว 

ตลาด Ameyoko ปิดวันพุธ ร้านส่วนใหญ่จะเปิดประมาณ 10 โมงเช้า และปิดประมาณ 1 ทุ่ม ยังไงก็อย่าลืมดูวันกันด้วยนะ เดี๋ยวจะมากันเก้อ



ทางเข้า Ameyayokocho เดินเข้าไปอีกนิดก็จะเจอทางเข้าตลาด Ameyoko


ทางเข้ามีให้เลือกซ้ายและขวา ทางซ้ายคือตลาด Ameyoko เน้นของกินของฝาก ส่วนด้านขวาเรียกว่า Ue-chun เน้นพวกเสื้อผ้า มาญี่ปุ่นของเราเน้นของกินอยู่แล้ว...ซ้ายผ่านตลอด

รูปปั้นสัญลักษณ์ประจำตลาด Ameyoko...

บรรดาผลไม้เวลามาวางรวมๆ กันชวนน่ากินยิ่งนัก

ของทะเลสดๆ ราคาก็ไม่แพงด้วย
ร้าน ABC-Mart ยอดฮิต
ร้านเคบับในตลาด Ameyoko

อุ้ย..ร้านไก่ทอด Yama-Chan มีสาขาในตลาด Ameyoko ด้วยอ่ะ สุดยอด...
แต่ร้านที่อยากจะแนะนำในตลาด Ameyoko คือ ร้าน Nikinokashi เป็นร้านขายขนมและของกินของฝากยอดนิยม ของเยอะมาก ราคาก็ถูกด้วย ร้านนี้มีสองร้านอยู่ตรงข้ามกันเลย แต่ดูเหมือนว่าเวลาเปิดปิดจะไม่เหมือนกัน ร้านนึงเปิด 10.00-19.00 น. ส่วนอีกร้านเปิด 10.30 - 19.30 น.พิกัดอยู่ติดกับวัด Tokudaiji ดูรายละเอียดได้ที่ website ของร้านตาม Link นี้ได้เลยค่ะ 
ร้าน Nikinokashi ร้านเดียวแทบหมดตัว

วัด Tokudaiji อยู่ติดกับร้าน Nikinokashi
เดินตลาดตั้งนานยังไม่ได้ชิมอะไรเลย อยู่ๆ ก็ได้กลิ่นอะไรหอมๆ ลอยมา กวาดสายตาก็ไปปะทะเข้าร้าน Gindaco พอดี แต่ก่อนทุกครั้งที่มีโอกาสไปที่ห้าง Esplanade รัชดาฯ เราก็มักจะแวะกินทาโกะยากิที่ร้าน Gindaco แต่หลังๆ ไม่มีธุระไปแถวนั้น เลยห่างหายจากรสชาติของ Gindaco ไปซะนานเลย วันนี้ได้โอกาสระลึกถึงอีกครั้ง

ร้าน Gindaco Cafe หน้าร้านทำเป็นกระจกใสให้ผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนั้นได้เห็นกระบวนการทำทั้งทาโกยากิและไทยากิชวนให้น้ำลายสอ แถมกลิ่นมันก็หอมเย้ายวนยิ่งนัก ว่าแล้วเราก็จูงมือโยกี้เข้าไปในร้านแบบไม่ถามความเห็นสักคำ

ร้าน Gindaco Cafe...การทำโชว์กันสดๆ นี่มันได้ผลจริงๆ นะ
เราสั่งทาโกะยากิแบบ original 8 ลูก ราคา 550 เยน และไทยากิไส้ถั่วแดง 1 ชิ้น 210 เยน ทาโกะยากิอร่อยเลยชอบๆ แต่ไทยากินี่สิมันหอมก็จริง แต่มันไม่ใช่ไทยากิแบบที่เราชอบ แป้งไทยากิของที่นี่จะกรอบมากด้านนอกดูเหมือนจะเคลือบน้ำตาลด้วย ประกอบกับไส้ข้างในก็หวาน มันก็เลยหว๊านหวานบวกกับกร๊อบกรอบ แต่คนอื่นๆ อาจจะชอบไทยากิแบบนี้ก็ได้นะ ต้องมาลองชิมกันดูค่ะ 

ได้เวลาไปต่อกันละ ออกมายังไม่พ้นตลาดดี เกือบลืมสิ่งที่อาฆาตไว้ตั้งแต่ตอนเดินเข้าตลาดก็คือ สตรอเบอร์รี่ ใจนึงจะซื้อแบบเสียบไม้ดีไหมนะ เพราะถ้ามาที่นี่มันต้องผลไม้เสียบไม้เท่านั้น แต่ตอนนั้นยังอิ่มกันอยู่ให้กินตอนนี้คงไม่ไหว เลยตกลงซื้อแบบแพคเก็บไว้กินระหว่างทางดีกว่า


สตรอเบอร์รี่เสียบไม้ 4 ลูก 200 เยน

อันนี้แพคละ 450 เยน
ออกจากตลาด Ameyoko เราจะไป Tokyo Tower ที่หมายสุดท้ายสำหรับวันนี้กันต่อเลย โดยเราไปขึ้นรถไฟใต้ดินกันที่สถานี UENO(H17) ต่อสาย Tokyo Metro Hibiya Line (สายสีเทา) ลงสถานี KAMIYACHO(H05) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 22 นาที แล้วออกทางออก 1 (ใช้บัตรสุดคุ้ม Tokyo Metro 1-Day Open Ticket)

แต่ก่อนที่จะออกจากสถานี KAMIYACHO ด้วยความที่โยกี้ต้องแบกทั้งของกินของฝากที่ซื้อมาจากตลาด Ameyoko ไหนจะทั้งกล้องและขาตั้งกล้องอีก ให้เดินต่อไปทั้งอย่างนี้ก็คงไม่ไหว เราสองคนเลยมองหาตู้ล็อคเกอร์เก็บสัมภาระชั่วคราวกันก่อน

ตู้ล็อคเกอร์ที่เราเจอที่สถานีนี้เป็นแบบรุ่นใหม่ เห็นครั้งแรกก็งงอยู่เหมือนกัน แต่โชคดีที่วิธีใช้มีภาษาอังกฤษด้วย ขั้นตอนคือเราจะต้องหาล็อคเกอร์ที่ว่าง สังเกตจากไฟ ถ้าไม่มีไฟแสดงว่ายังว่าง  เลือกได้แล้วก็เอาสัมภาระใส่เข้าไปในตู้นั้นแล้วปิดประตู เสร็จแล้วก็จำหมายเลขตู้ไว้ ใกล้ๆ กันจะมีตู้ที่มีหน้าจอ LCD กับช่องสำหรับหยอดเหรียญ ไปที่ตู้นั้นแล้วกดที่หน้าจอเลือกภาษาอังกฤษ จริงๆ หน้าจอจะแสดงรูปล็อกเกอร์ที่เราเพิ่งเอาสัมภาระใส่เข้าไป แต่ถ้าเกิดไม่แสดงให้เลือก Put in the bag แล้วพิมพ์หมายเลขตู้ กดปุ่ม cash เราเลือกตู้ขนาด 300 เยน ก็หยอดเงินไป 300 เยน เสร็จแล้วใบเสร็จจะออกมา ซึ่งในใบเสร็จจะมี Key Number อยู่ต้องเก็บไว้ให้ดีๆ หายล่ะงานเข้าเลย เวลาจะเอาของออกให้ไปกดที่หน้าจอ เลือกภาษาอังกฤษ เลือก Take out bag พิมพ์หมายเลขล็อกเกอร์ และ Key Number ประตูล็อกเกอร์ก็เปิดออกได้ 
หน้าตาล็อคเกอร์รุ่นใหม่...ส่วนด้านขวามือคือตู้สำหรับกด (ตอนนั้นกังวลกลัวจะลืมว่าใส่ไว้ตู้ไหน เลยไม่ได้ตั้งใจถ่ายตู้กดเลย)
จัดการกับสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ก็ออกจากสถานีเดินกันตัวปลิวได้ พอออกจากสถานีแล้วก็งงว่าจะไปทางไหนดี ดีนะที่เห็นป้ายบอกทางไป Tokyo Tower ก็เดินตามป้ายกันไปเรื่อยๆ (ตอนนั้นเราสองคนขาเริ่มล้า ฝ่าเท้าก็เริ่มระบมเดินกันเยอะเหลือเกินวันนี้ ลืมถ่ายรูปป้ายกันเลย) เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเห็นตึกรูปร่างแปลกตา หลายตึก


ในที่สุดก็ถึงซะที สีสันสดใสจนลืมว่าเท้าระบมไปชั่วขณะ

ธงปลาคาร์ฟเยอะแยะเลย สงสัยจะเตรียมสำหรับงานเทศกาลวันเด็กผู้ชายที่จะมาถึงในวันที่ 5 พฤษภาคมนี้ล่ะมั้ง
 ถ่ายภาพด้านนอกเสร็จแล้ว เราสองคนก็ขึ้นมาที่ชั้นบนแบบไม่เน้นดูวิว แต่มาสำรวจของว่ามีอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นร้านขายของที่ระลึกสัญลักษณ์ Tokyo tower และขนม Tokyo banana 
ของที่ระลึกของ Tokyo tower ในรูปแบบ Kitty

Tokyo Banaba รุ่นใหม่ๆ 

Tokyo tower เวอร์ชั่นตุ๊กตา
ไม่รู้ว่าเรารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าที่นี่ดูเงียบเหงาคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ หรือว่าเรามากันตอนเย็นมากแล้ว หรืออาจเป็นเพราะ Tokyo Skytree ที่ทำให้ที่นี่ดูเงียบเหงาอย่างนี้ ไม่ได้ละอย่างนี้ต้องไปพิสูจน์ แต่วันนี้เหนื่อยมากแล้วกลับที่พักกันดีกว่าเรา

จากสถานี KAMIYACHO (H05) ต่อสาย Tokyo Metro Hibiya Line (สายสีเทา)  ลงสถานี GINZA (HO8) แล้วต่อสาย Tokyo Metro Ginza Line (สายสีส้ม) ลงสถานี Shimbashi(G08) ทั้งหมดนี้ใช้บัตร Tokyo Metro 1-Day Open Ticket วันนี้ถือว่าใช้บัตรได้คุ้มแบบสุดๆ แต่หลังจากนี้เราใช้บัตรนี้ไม่ได้แล้ว เพราะเราต้องต่อสาย Yurikamome Line ลงสถานีที่  Kokusai Tenjijo Seimon เพื่อกลับโรงแรม Sunroute Ariake ค่ารถไฟ 380 เยน

ระหว่างทางกลับโรงแรมเดินผ่านตึก Tokyo Fashion Town เลยแวะกินอุด้งกันคนละชามที่ร้าน Marugame Seimen ต้นตำรับของญี่ปุ่น ปกติเวลาเรากินอุด้งร้าน Marugame Seimen ที่เมืองไทยขนาดชามใหญ่เรารู้สึกว่ามันเล็กสำหรับเรา เลยสั่งชามใหญ่ตามความเคยชิน ปรากฏว่าชามใหญ่เวอร์ชั่นญี่ปุ่นมันใหญ่จริงใหญ่จัง แถมสั่งของทอดมาอีก 3 อย่าง ได้แต่คิดในใจว่าฉันจะทำไงดี กินไปกินมาด้วยความที่เส้นอุด้งอร่อยน้ำซุปก็อร่อยหมดชามจนได้ 



Kitsune Udon ชามใหญ่ 442 เยน ของทอด 3 อย่างชิ้นละ 103 เยน

Niku Udon นะถ้าจำไม่ผิด ชามใหญ่ 597 เยน
โอ๊ยอิ่มจนจุกไม่ไหวแล้ว กลับไปนอนเอาแรงดีกว่า พรุ่งนี้ไปเที่ยวพระราชวังกันค่ะ...

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วันที่ 11 เมษายน 2557 ตอนที่ 2 เที่ยววัด Sensoji และถนน Nakamise

เนื่องจากวันนี้เราซื้อบัตร  Tokyo Metro 1-Day Open Ticket มาแล้วตั้งแต่เช้า ดังนั้น เพื่อเป็นการใช้บัตรอย่างคุ้มค่าเราเลยหาเส้นทางจากตลาดปลา Tsukuji ไปวัด Sensoji โดยรถไฟ Tokyo Metro ซึ่งการเดินทางของเราสองคน คือ จากสถานี Tsukiji (H 10) ต่อสาย Tokyo Metro Hibiya Line (สายสีเทา) ใช้เวลา 12 นาที ลงสถานี UENO (H 17)  แล้วต่อสาย Tokyo Metro Ginza Line (สายสีส้ม) ใช้เวลา 5 นาที ลงสถานี Asakusa (G19) แล้วทางออกหมายเลข พอออกจากสถานีมองไปทางซ้ายไม่ไกลมากเราก็จะเห็นสะพานแดง Azumabashi กับแม่น้ำ Sumida ที่มีตึกเบียร์ Asahi และ Tokyo Skytree เป็นฉากด้านหลังเลย

สะพานแดง Azumabashi ตึกเบียร์ Asahi และ Tokyo Skytree แลนด์มาร์กของย่านอะซะกุซะ
แม่น้ำ Sumida
เดินตัดสะพานแดงมาอีกฝั่ง ก็จะเป็นทางเดินยาวไปวัด Sensoji ด้านขวาเป็นสวนสาธารณะมีต้นซากุระเรียงรายไปตลอดทาง

ถ้าขี้เกียจเดินจะนั่งรถลากแบบนี้ก็ได้ไม่มีปัญหา สามารถหาได้ทั่วไปในย่านนี้ตั้งแต่หน้าสถานีรถไฟกันเลยทีเดียว (ถ่ายย้อนกลับไปทางที่เดินมา)

เดินดูต้นซากุระกันเพลินๆ พอเริ่มรู้สึกเมื่อยนิดๆ มองไปตรงทางแยกตรงซ้ายมือก็จะเจอทางเข้าวัด Sensoji
ถึงประตูทางเข้าวัด Sensoji ละ เข้าทางนี้คนน้อยดีจัง
ประตู Nitenmon นั่นเอง ประตูนี้เป็นประตูที่ใกล้กับสวนสาธารณะ จะเหมาะมากถ้าหากมาช่วงที่ดอกซากุระกำลังบาน
พอเดินผ่านประตูเข้ามาในบริเวณวัดเท่านั้นล่ะ  คนเยอะมากเล่นเอาตาลายเลย
พอเริ่มตั้งสติได้แล้ว เราก็เริ่มสำรวจไปรอบๆ บริเวณวัด  ที่แรกคือ Kannondo Hall 
สักการะองค์เจ้าแม่กวนอิมที่ Kannondo Hall 

เจดีย์ 5 ชั้น Gojunoto
 การโบกควันธูปเข้าหาตัวเอง เชื่อว่าจะช่วยให้หายเจ็บป่วยได้

ประตูชั้นใน Hozomon 
การที่จะรอให้ประตูว่างเพื่อถ่ายรูปไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ ออกจากประตูนี้ ก็เป็นถนน Nakamise ถนนแห่งการช้อปปิ้ง
จากประตู Nitenmon ที่เราเดินเข้ามา ดูจะสวนทางกับคนอื่นๆ แต่ก็ดีเหมือนกัน ขืนผ่านถนน Nakamise ตั้งแต่ก่อนเข้าวัด คงไม่มีเวลาได้เดินดูวัดแน่ๆ เจอของล่อตาล่อใจดักจนหมดเวลาซะก่อน ฮาๆ
บรรยากาศถนนช้อปปิ้ง Nakamise 
ประเดิมร้านแรกร้าน Asakusa Kokonoe  ร้านซาลาเปาทอดชื่อดัง 

Asakusa Kokonoe  เป็นร้านขายซาลาเปาทอดชื่อดังของที่นี่ พอออกจากมาประตูชั้นใน Hozomon ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือประมาณร้านที่  3 (ถ้าจำไม่ผิดนะ) สังเกตได้จากสัญลักษณ์ลิงตรงป้ายชื่อร้านและในร้าน นอกจากนี้ องค์จักรพรรดิญี่ปุ่นเคยเสด็จมาที่ร้านนี้ด้วย ไม่ลองไม่ได้แล้ว...

ซาลาเปาทอดไส้มันเทศ 170 เยน
ซาลาเปาทอดมีหลายรส เท่าที่กวาดสายตาดูอย่างรวดเร็ว มีรสชาเขียว ถั่วแดง ฟักทอง มันเทศ  คนก็เยอะไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก ขอเลือกรสมันเทศละกัน...คำแรกที่รู้สึกคือกรอบนอกนุ่มใน ตามมาด้วยรสหวานมัน (ก็มันคือมันเทศมิใช่หรา) ก็อร่อยดีนะ แต่ถ้าจะบอกว่าอร่อยถึงขั้นฝันถึง อันนั้นก็ไม่ใช่

ร้านของกินต่างๆ มากมาย
  
ร้านขายของฝากกุ๊กกิ๊กๆ

เดินไปจนสุดถนน Nakamise เราสองคนก็เดินย้อนกลับมาที่ประตูชั้นใน Hozomon อีกที เนื่องจากภารกิจยังไม่เรียบร้อย นั่นคือ การไปชิมเมล่อนปังกับ soft cream ที่ร้าน Asakusa Kagetsudo 

เดินกลับมาที่ประตูชั้นใน Hozamon พอใกล้ถึงประตูให้เลี้ยวขวาเดินตรงเข้าไปเลย นิดเดียวก็ถึงร้านละ 
เห็นป้ายร้านแบบนี้ โมเดลเมลอนปัง และ soft cream แบบนี้ใช่เลย
รสอะไรดีน๊า....
เมล่อนปัง 1 ชิ้น 200 เยน soft cream อันละ 250 เยน

หลังจากเข้าคิวไม่นาน ในที่สุดก็มาถึงมือเราสองคนจนได้ เมล่อนปังชิ้นละ 200 เยน ถ้าซื้อ 3 ชิ้น ลดเหลือ 500 เยน แต่ดูจากขนาดแล้ว 3 ชิ้นคงไม่ไหว แค่ชิ้นเดียวก็อันเท่าหน้าคนถือละ สำหรับ soft cream อันละ 250 เยน ของเรารสชาเขียว ส่วนโยกี้รสเมล่อน 

สำหรับเมล่อนปังแนะนำว่าควรกินตอนร้อนๆ จะอร่อยมาก  ด้านบนจะเป็นแป้งคุกกี้กรอบส่วนด้านล่างเป็นขนมปังเนยชุ่มๆ กินแล้วนึกถึง Rotiboy ส่วน soft cream ชาเขียวอร่อยดีชอบกลิ่นชาเขียว ขมๆ หวานๆ ส่วนรสเมล่อนโยกี้บอกว่าอร่อยแบบ soft cream เมล่อนทั่วๆ ไป

มื้อกลางวันนี้ออกแนว street food นิดนึงไม่ได้กินอะไรกันจริงจัง เดี๋ยวไปกินจุบกินจิบกันที่ตลาด Ameyoko ต่อนะคะ